*** ช่วงนี้มีนิยายที่ถูกนำไปสร้างเป็นละคร / ซีรีส์ / หนัง อะไรบ้าง คลิกดูที่นี่เลยค่ะ / สำหรับใครที่อยากอ่านนิยาย แต่ไม่รู้จะอ่านเรื่องอะไรดี เรามีฟังก์ชั่นสุ่มนิยายให้ด้วยนะคะ คลิกเลย! ***

ไม่ได้ทะลุมิติมาเป็นหญิงชาวบ้านที่เก็บโสมขายจนรวยหรอกรึ – Alysa Nannette

ดาวน์โหลดแต่ละเล่มได้ ด้วยการคลิกที่รูปปกหนังสือแต่ละรูปด้านล่างได้เลยค่ะ

ไม่ได้ทะลุมิติมาเป็นหญิงชาวบ้านที่เก็บโสมขายจนรวยหรอกรึ – Alysa Nannette 

นิยายรักจีนโบราณ แนวทะลุมิติ ขำขัน ฟีลกู๊ด ฮีลใจ สุขนิยม นางเอกเป็นคนตลก น่ารัก น่าเอ็นดู พระเอกเทพทรู หล่อล่ำ ใจถึง พึ่งพาได้ ‘ไม่ได้ทะลุมิติมาเป็นหญิงชาวบ้านที่เก็บโสมขายจนรวยหรอกรึ’

[ คำโปรย ]

ซือซือทะลุมิติมาเข้าร่างหญิงสาวยากจนในหมู่บ้านชนบทยุคจีนโบราณ ถ้ามาทรงนี้ตามสเต็ปของนางเอกนิยาย 99% ก็ต้องเข้าป่าขุดเจอโสมหรือเห็ดหลินจือแล้วเอาไปขายทำเงินและสร้างกิจการจนรวยสินะ… อ้าว! ไม่ใช่เรอะ!

นอกจากจะไม่เจอโสมหรือเห็ดหลินจือแล้ว ยังเจอคนไล่ฆ่าด้วย แต่เดชะบุญที่มีจอมยุทธ์มาช่วยเอาไว้ได้ทัน แถมเขายังบอกว่าจะพาเธอไปเมืองหลวงด้วย มาทรงนี้ก็ต้องไปทำการค้าใหญ่โตจนร่ำรวยสินะ อ้าว! ไม่ใช่อีกแล้วเรอะ!

##### ตัวอย่างเนื้อหาบางส่วนจากบทที่ 4 #####

“จับเสื้อข้าไว้ให้แน่นๆ จะได้ไม่ตกลงไป” เอ่ยจบเขาก็กระตุกบังเหียน ทำให้ม้าเริ่มออกวิ่ง ซือซือจึงต้องรีบกำเข้าไปที่เสื้อบริเวณเอวของเขาไว้แน่น

‘หวังว่าเสื้อของอีตาคนนี้จะไม่หลุดออกมาทั้งยวงแล้วทำให้เธอหงายหลังตกม้าไปหรอกนะ!’

เมื่อพ้นจากเขตหมู่บ้าน ม้าตัวที่เธอนั่งก็วิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ … จนเธอรู้สึกเหมือนจะบินได้อยู่แล้ว!

ชีวิตก่อนซือซือเคยนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์ (วิน) เป็นประจำ แต่ไม่เคยนั่งซ้อนท้ายพวกบิ๊กไบค์ที่ซิ่งแข่งกับรถยนต์บนถนนเส้นยาวอย่างเป็นกิจจะลักษณะมาก่อน ไม่รู้ว่าบิ๊กไบค์กับม้าตัวนี้อะไรจะซิ่งกว่ากัน และไม่ใช่ซิ่งธรรมดา แต่มันทั้งกระเด้งกระดอน กระแทกกระทั้น กระทุ้งกระเทือนจนตับไตไส้พุงของเธอเขย่าไปมาจนมันไปกองรวมกันหมดแล้วมั้ง!

ประสบการณ์ในการนั่งซ้อนท้ายม้าครั้งแรกของเธอ เรียกได้ว่า ‘ลืมตาย’ ส่วนคนที่ลืมตายน่าจะเป็นหยางเฉวียนหมิงที่ซิ่งม้าราวกับจะไม่มีวันพรุ่งนี้อีกแล้ว ไม่ทันได้ร้องเรียนอะไรกับใครท้องฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนสี และเมื่อฟ้าเริ่มมืด ฝีเท้าของม้าก็ชะลอลงด้วยเช่นกัน

ซือซือที่หลับตากำเสื้อของอีตาจ๊อกกี้มาตั้งแต่แรก รู้สึกมือชา ก้นชา และขาชามาสักพักใหญ่ๆ แล้ว กว่าจะรู้ตัวว่าม้าหยุดวิ่งก็ตอนที่ได้ยินเสียงของผู้ชายคนเดียวที่เธอรู้จักแถวนี้ดังขึ้นข้างๆ

“ถึงโรงเตี๊ยมแล้ว เราจะพักที่นี่คืนหนึ่ง พรุ่งนี้จะออกเดินทางเวลาเดิม”

เสียงนั้นทำให้เธอค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ก็เห็นว่าหยางเฉวียนหมิงลงไปเดินจูงม้าอยู่ ส่วนเธอก็ยังอยู่ในท่านั่งยื่นมือ 2 ข้างออกไปเกาะอากาศอันว่างเปล่า เบื้องหน้าที่เธอเห็นคือโรงเตี๊ยมในอำเภอเล็กๆ สภาพคล้ายๆ โรงแรมจิ้งหรีดในชีวิตก่อน คือเล็ก เก่า โทรม และมืดสลัว ให้ความรู้สึกไม่น่าเข้าพักโดยสิ้นเชิง

“เอ้า! เหตุใดยังไม่ลงมาอีก!”

ซือซืออยากจะแยกเขี้ยวใส่อีตาคนนี้เหลือเกิน ตอนขึ้นเธอก็ไม่ได้ขึ้นเอง คิดว่าตอนลงเธอจะลงเองได้เหรอ!

หยางเฉวียนหมิงหันมาถอนหายใจใส่เธอเฮือกหนึ่ง ก่อนจะตะปบไหล่เธอแล้วหิ้วเธอลงมาราวกับหยิบสิ่งของชิ้นหนึ่งลงจากหลังม้า จากนั้นเขาก็เดินนำเข้าโรงเตี๊ยมไปก่อน

หลังจากพูดคุยและจ่ายเงินค่าห้องเรียบร้อยแล้ว หยางเฉวียนหมิงถึงได้หันกลับมาสนใจสัมภาระ… เอ่อ… เพื่อนร่วมทางอีกคนหนึ่งที่เขาทิ้งเอาไว้หน้าโรงเตี๊ยม แต่เขาก็ต้องผงะไปครึ่งก้าว เมื่อเห็นเด็กสาวกำลังเดินกระย่องกระแย่งขาถ่างเสมือนท่านั่งม้าไม่มีผิด

“เจ้า!! เดินอย่างไรให้เหมือนวานรเยี่ยงนี้!”

ซือซือปากยื่นน้ำตาคลอเบ้า เธออยากจะร้องไห้ออกมาจริงๆ เพราะตอนนี้เธอไม่สามารถยืดขาให้ตรงได้ มันทั้งแข็ง ทั้งชา ทั้งปวดและร้าวไปหมดแล้ว!

“ก็เพราะม้าของท่านน่ะแหละ! ข้าต้องนั่งม้ามาทั้งวัน ถ้ายังเดินเหมือนคนได้ก็แปลกแล้ว!”

หยางเฉวียนหมิงยกมือขึ้นมากุมขมับ หากเขาให้นางนั่งม้าต่อไปจนถึงเมืองหลวง คนแซ่หานจะไม่คิดว่าเขาพาวานรไปส่งพวกเขาหรอกหรือ ไม่ได้การ… ต่อไปคงต้องนั่งรถม้า อาจจะถึงช้าหน่อย แต่ก็ดีกว่าที่นางจะต้องกลายเป็นสตรีขาโก่งเดินไม่ตรงเช่นนี้

##########